Pucca In Love
เชิญอ่าน เชิญโพสต์ เชิญเม้นท์ได้ตามสบายเลยนะค่ะ ^_^

เรื่องขำขำ ในหลวงของเรา(น่าจะยังไม่เคยอ่านกันแน่ๆ)




-  ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนิน
แปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว
วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง ต่างคิดว่า ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะให้รถคันอื่นๆ ลอดผ่านซุ้มได้..
และโดยไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ จึงมีคนเดินมาบอกที่รถว่า...

"วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ".. 
พระองค์จึงทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว
วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการ พร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตาม และทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า
 "วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."

- หน้าเหมือนในหลวงจัง 
เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด
ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย
จึงทูลถามท่านว่า
"ทำไมหน้าเหมือนในหลวงจัง?"
ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่า
ก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม




-  ส่งเสี่ยกลับวัง
เมื่อสมัยก่อนเสด็จแปร พระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง
และบางครั้งโดยลำพังพระองค์ มีครั้งหนึ่งระหว่างจะ เสด็จกลับ ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า
“ไปไหมเสี่ย” ปรากฎว่าเสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยัง พระราชวังไกลกังวล
โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น ข้าราชการ แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ
เท่านั้นแหละ ซาเล็งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร


 -  "จะให้เป็นช่างจริง"
มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง
พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ
คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า "เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง"
ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า "เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง"
(สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง
พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได
รีบลงมาก้มกราบ
ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า "แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"

 -  เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับเป็นที่ประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจน มีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ 
จึงกระซิบทูลว่า ควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง 
แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า
"ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" ซึ้งไหมหล่ะ


 "สามร้อยตุ่ม"
มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงต่าง ๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่อยู่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผู้ส่องถวายอยางไม่สะดุ้งสะเทือน อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบา ๆ เท่านั้น
ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง "ยุง" ด้วยพระอารมณ์ขันว่า
"..ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่
เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง
ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแตง
ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี.." 


 
 -  "ดินเค็มไหม"
พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ทางภาคใต้
คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดินเป็นกรด มีความเค็ม
พระองค์จึงทรงรับสั่งถามกับชาวบ้านที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า
"ดินหลังบ้านเป็นอย่างไร เค็มไหม "
ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง
ก่อนตอบกลับมาว่า "ไม่เคยชิมซักที"
ในหลวงก็รับทรงสั่งกับข้าราชบริภารที่ ตามเสด็จว่า
"ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ"



 -  ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง มีข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯ(คนนั้นแหล่ะไม่อยากจะเอ่ย) บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์ เพื่อใช้สิทธิ์ สร้างความแค้นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน
แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไร
ในหลวงทรงตรัสว่า "ไม่เป็นไรหรอก หากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้ หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี (ฟ้าหญิง) ก็ได้"
ท่านพูดเสียงเรียบ ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลย พูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้น ให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง 
ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าท่านตอบได้น่ารักมาก เคยมีคนถามผมว่า นับถือใครมากที่สุด คิดถึงคนแรกและคนเดียวเลยคือ ในหลวง ท่านเหนือกว่ากษัตริย์ใดในโลกหล้า ยิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษคนใดในตำนาน มีคุณธรรมประเสริฐล้ำเทียบพระโพธิสัตว์ 
ขอถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวีจะหาไม่


 -  .....เราจับได้แล้ว.....
ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เล่าว่า....
ครั้งหนึ่งในงานนิทรรศการ "ก้าวไกลไทยทำ" วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 The BOI Fair 1995 commemorates the 50th Anniversary of His Majesty King Bhumibol Adulyadej's reign"
(Board of Investment Fair 1995 BOI) หลังจากที่เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามศาลาการแสดงต่างๆ ก็มาถึงศาลาโซนี่ (อิเล็กทรอนิกส์) ภายในศาลาแต่งเป็น "พิภพใต้ทะเล" โดยใช้เทคนิคใหม่ล่าสุด "Magic Vision" น้ำลึก 20,000 league จะมีช่วงให้แลเห็นสัตว์ทะเลว่ายผ่านไปมา ปลาตัวเล็กๆ สีสวยจะว่ายเข้ามาอยู่ตรงหน้า 
ข้อสำคัญเขาเขียนป้ายไว้ว่า... ถ้าใครจับปลาได้เขาจะให้เครื่องรับโทรทัศน์ พวกเราไขว่คว้าเท่าไหร่ก็จับไม่ได้ เพราะเป็นเพียงแสงเท่านั้น
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า "เราจับได้แล้ว"
พร้อมทั้งทรงยกกล้องถ่ายรูปชูให้ผู้บรรยายดู แล้วรับสั่งต่อ "อยู่ในนี้" ต่อจากนั้นคงไม่ต้องเล่า เพราะเมื่ออัดรูปออกมาก็จะเป็นภาพปลาและจับต้องได้ บริษัทโซนี่จึงต้องน้อมเกล้าฯ ถวายเครื่องรับโทรทัศน์ตามที่ประกาศไว้...


 -  .....ทุกข์ยามดึก.....
พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ ผู้อำนวยสำนักงานโครงการพระดาบส อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข เล่าว่า
....การที่ได้ทรงพระกรุณารับฟัง และติดต่อทางวิทยุตำรวจเป็นประจำ จึงทรงทราบความลำบาก ความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย
.....ตำรวจประจำตู้ยามบางคนคับแค้นใจ เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว ปัญหาการครองชีพ เมื่อเสพสุราแล้วครองสติไม่ได้ ไม่รู้จะระบายความในใจกับใคร จึงได้พล่ามบรรยายมาทางวิทยุ
.....บางคนหลับยามไม่พอกดคีย์ ไมโครโฟนค้าง ทำให้มีเสียงกรนออกอากาศมาด้วย
.....บางคนตะโกนร้องเพลงลูกทุ่ง ออกอากาศมาเป็นการแก้เหงา ก็มี
..... ที่จัดได้ว่าโชคดี คือ ศูนย์ควบคุมข่ายตำรวจแห่งชาติ "ปทุมวัน" กล่าวคือ ในยามดึกวันหนึ่ง
.....พนักงานวิทยุคนหนึ่งได้ระบายความเดือดร้อน เนื่องจากหิวโหย ไม่สามารถหาอาหารรับประทานได้เพราะต้องเข้าเวร เมื่อทรงรับฟังแล้วทรงสงสาร 
จึงได้รับสั่งทางวิทยุกับผู้เขียนในฐานะที่เป็น ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นโดยตรงว่า
"โปรดเกล้าฯ พระราชทานตู้เย็นเพื่อ เก็บอาหารสำรอง สำหรับเวรยามดึกให้ 1 ตู้"


เคยมีคนต่างชาติสงสัยว่า ”ทำไมคนไทยรักในหลวง"

คำตอบคือ .............“คุณมีเวลามากพอที่จะฟังหรือเปล่า "

คัดลอกจาก สาระแนดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.oknation.net/blog/Tip2/2010/05/01/entry-3

Updated by Phatcha Kammaroeng 11-12-2012 

งานอดิเรกของหนูนิล อิอิ ^^


หลังจากที่ถักตุ๊กตาได้สัักพัก ตุ๊กตาชิ้นเล็กบ้าง เลยไปเจอแพทเทินเป็น
โครเชต์ ตุ๊กตาหมีถัก ใส่แฟลชไดร์ ใส่กุญแจ น่ารักมาก เลยลองทำตามดู แต่เจ้าของบล็อก อุปกรณ์ไม่ค่อยพร้อมสักเท่าไหร่ มีแต่ไหมพรมเส้นใหญ่ ไม่รู้รูปร่างหน้าตาจะออกมายังไง
ดูจากแพทเทินแล้วสามารถทำได้ง่ายมากเลยค่ะ ใครสนใจก็ลองทำดูนะคะ

ข้างล่างนี้คือที่ไปเจอมาค่ะ ไม่ได้คิดเอง อิอิ
----^^----
อุปกรณ์ : ไหมพรมวีนัส 4 ply สีสันตามชอบ
             : เข็มถักไหมพรม No.2
             : เข็มเย็บไหมพรม
             : ลูกปัดสีดำ 3 มล. สำหรับทำดวงตา
การถักชิ้นงาน ให้มีขนาดพอดีกับ ขนาดของ แฟลชไดรฟ์ หรือ กุญแจ ขอให้ดูที่ แพทเทิร์นซองใส่แฟลชไดร์ แบบคลาสสิก นะคะ คลิกที่นี่ค่ะ

แพทเทิร์นโครเชต์ ตุ๊กตาหมีถัก ซองใส่แฟลชไดรฟ์ ที่ใส่กุญแจ

แพทเทิร์นซองแฟลชไดรฟ์ ตุ๊กตาหมีถัก  ที่เก็บกุญแจ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://ilikecrochet.blogspot.com/2012/03/blog-post_06.html
Posted by Phatcha Kammaroeng
1/12/2012  13:15 

How To Paraphrase

     มาลองดูเทคนิคการทำ paraphrase กันเลยค่ะ มีหลักๆทั้งหมด 3 แบบ
     1. Use Synonyms การใช้คำที่มีความหมายเหมือนกันมาแทน
     วิธีที่ง่ายที่สุดในการ paraphrase คือฟาคำเหมือนมาแทนเข้าไปเช่น ประโยคที่่ว่า You are so beautiful. สามารถแทนได้ด้วย You are so gorgeous. เพราะ gorgeous = beautiful สวยมาก แต่ถ้าสวยมากกว่านั้นอาจจะต้องใช้คำว่า drop-dead  gorgeous คือสวนจนใครเห็นแล้วลมหายใจขาดห้วงตายไปเลย 
     2. Change Sentence Structures การเปลี่ยนโครงสร้างประโยค
     วิธีนี้อาจจะต้องมีการเปลี่ยนโครงสร้างประโยคจนต่างจากรูปประโยคเดิม เช่นประโยคที่ว่า I get English when I read " I Get English". อาจจะเปลี่ยนเป็น English is what I get when I read " I Get English". ^^
     3. A Little Bit Of Both แบบรวมร่าง คือใช้ทั้งสองแบบผสมกัน
      พอฝึกทั้งสองวิธีแรกจนคล่องแล้วก็ค่อยใช้วิธีสุดท้ายคือการผสมกัน อันนี้อาจจะต้องใช้ประสบการณ์พอสมควรค่ะ และอาจจะมีการรวมประโยคหรือแตกประโยคได้เช่นกันถ้าประโยคสั้นหรือยาวเกินไป ลองดูประโยคต่อไปนี้นะค่ะ 
     English is easy. However, we need to practice continually. We also have to receive proper feedback. We will improve gradually over time and one day, we will be able to use the language confidently and effectively.

     ตัวอย่าง paraphrase
     English is not so difficult to master but we need to practice constantly. With proper feedback, we will improve gradually over time to a point where we can use it at well.

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากนิตยสาร I Get English By ดร.วาทิน เฉลิมดำริชัย 
ฝากเพื่อนๆช่วยเม้นท์ให้หนูนิลด้วยนะค่ะ ^^
     

Paraphrasing

   

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้หนูนิลมีทักษะที่สำคัญมากถึงมากที่สุดในการเรียนวิชา Academic Writing ถึงขนาด indispensable (ขาดไม่ได้) ทักษะที่ว่านี้ก็คือ การ paraphrase หรือ restate information นั่นเองค่ะ

Restatement หรือ Paraphrasing นั้นคือการสื่อข้อความที่มีความหมายเดียวกันในรูปแบบอื่น เช่น ถ้าเราต้องการบอกว่า English is so easy. ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องง่ายๆ (จริงมะ) เราอาจจะพูดได้อีกอย่างว่า English is not difficult at all. หรือ English is a piece of cake. หรือ English is a walk in the park. ( piece of cake = หมูมาก, เป็นเรื่องกล้วยๆ เวลาพูดออกเสียงคล้ายๆกับ pizza cake พิซซ่า เค้ก...พูดแล้วหิว ^^ ส่วน walk in the park ก็เป็นสำนวนที่แปลว่าง่ายเหมือนกันค่ะ เหมือนเดินเล่นในสวนน่ะ ^_^ )

ทั้งสามประโยคข้างต้นนี้มีความหมายเหมือนกัน เราเรียกว่าเป็นการ restate หรือ paraphrase ข้อความ แต่ก็มีบางกรณีที่เราอาจจะพบว่าการ paraphrase นั้นอาจมีความหมายไม่เหมือนกัน 100% (สืบเนื่องจากการตีความที่ต่างกัน) เช่น ถ้าเราจะบอกว่า I love you so much. คือ รักมากกกกกก เราอาจจะบอกได้อีกอย่างว่า You mean the world to me. (คุณคือโลกใบนี้สำหรับฉัน) หรือ I cannot live without you. (ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าขาดคุณ........อากาศและน้ำ ^_^) เริ่มไปในทางเลี่ยนแล้ว 555

ในประโยคแรกเราคงเข้าใจความหมายชัดเจนอยู่แล้ว แต่ในสองประโยคหลังบางคนอาจจะตีความไปในเชิงว่า "คุณสำคัญสำหรับฉันมาก"ก็ได้นี่นา ไม่ได้แปลว่ารักซะหน่อย แล้วแต่ context ต่างหาก ซึ่งก็จริง แต่สำหรับนิลแล้วนิลคิดว่าถ้ามีความหมายแทนกันได้ก็ถือว่า good enoughค่ะ มันเป็นศิลปะ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ให้ผ่านเถอะค่ะอาจารย์ 555 ^^

แต่หลักๆที่สำคัญคือการ paraphrase ต้องได้ความหมายตามประโยคเดิมครบถ้วนนะค่ะ อย่าลืม...